โรคคอตีบ หรือ ดิฟทีเรีย (Diphtheria) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากทางเดินหายใจติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Corynebacterium diphtheriae ทำให้เกิดการอักเสบ มีแผ่นเยื่อเกิดขึ้นในลำคอ ในรายที่อาการรุนแรงจะมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้น เช่น เกิดการตีบตันของทางเดินหายใจ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ ซึ่งเหล่านี้มักเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้
โรคคอตีบ (Diphtheria)
โรคคอตีบเป็นโรคที่พบได้ประปรายตลอดทั้งปีและบางครั้งอาจพบการระบาดได้ ปัจจุบันพบผู้ที่ป่วยคอตีบได้น้อยมาก เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ตั้งแต่ยังเป็นทารกอายุได้ 2 เดือนอย่างทั่วถึง ซึ่งการระบาดแต่ละครั้งมักจะพบในเด็กที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนหรือฉีดวัคซีนไม่ครบ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มเด็กที่มีฐานะยากจนหรืออาศัยอยู่บริเวณชายแดน หรือเป็นกลุ่มคนที่อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังพบได้ในกลุ่มคนที่มีประวัติได้รับการฉีดวัคซีนไม่ครบหรือไม่ได้รับการฉีดวัคซีนกระตุ้นในเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ จึงทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันที่จะป้องกันโรคได้
โรคนี้มีโอกาสเกิดได้เท่ากันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย สามารถพบได้ในคนทุกวัย พบได้มากในเด็กอายุ 1-10 ปี แต่มักไม่พบในเด็กอ่อนอายุต่ำกว่า 6 เดือน เนื่องจากเด็กในช่วงนี้ยังได้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคจากมารดาอยู่ ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้จะหมดไปเมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 6 เดือน แต่ในประเทศที่ยังไม่พัฒนามักพบเกิดในเด็กเล็กได้ ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้วเมื่อเกิดโรคมักจะพบในวัยตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปเนื่องจากขาดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคกระตุ้นทุก 10 ปี
การรักษาโรคคอตีบ 9 วิธี
- หากสงสัยว่าเป็นโรคคอตีบ ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยอาจให้รับประทานยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ก่อน
- เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคคอตีบ แพทย์จะรับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลและให้อยู่ในห้องแยกโรคเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
- สำหรับแนวทางในการรักษาโรคคอตีบ แพทย์จะให้ยาต้านพิษคอตีบ (Diphtheria antitoxin – DAT) และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินจี 1-1.5 แสนยูนิต/กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งฉีดทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าแพ้เพนิซิลลินแพทย์จะให้รับประทานยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน โดยให้รับประทานติดต่อกันนาน 14 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรค
- แพทย์จะเฝ้าระวังเรื่องภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องระบบหายใจ เนื่องจากอาจจะมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ และระบบไหลเวียนโลหิตเนื่องจากโรคคอตีบอาจจะทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- ถ้ามีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น แพทย์จะให้การรักษาโรคแทรกซ้อนนั้น ๆ
- การรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้พักผ่อนอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนทางหัวใจ ให้ยาอื่น ๆ รักษาไปตามอาการที่เป็น ให้น้ำเกลือและให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ การใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งบางครั้งอาจต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ ถ้าแผ่นเยื่อจากโรคเกาะหนามากจนทางเดินหายใจแคบเกินกว่าจะหายใจเองได้ และการให้ออกซิเจน เป็นต้น
- ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบหรือฉีดกระตุ้น (ในผู้ที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนแล้ว)
- ควรแยกตัวผู้ป่วยออกจากผู้อื่นอย่างน้อย 3 สัปดาห์ หลังจากผู้ป่วยเริ่มมีอาการหรือตรวจเพาะเชื้อไม่พบเชื้อแล้ว 2 ครั้ง และทำการกำจัดหรือเผากระดาษเช็ดน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วย และใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคลงในสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย
- เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเส้นประสาทอักเสบแทรกซ้อน เมื่อกลับจากโรงพยาบาลแล้วควรระวังอย่าให้ร่างกายตรากตรำจนกว่าจะปลอดภัย และควรเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ทันที
โรคคอตีบจัดเป็นโรคติดต่อได้ง่ายและรุนแรง ที่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้ ถึงแม้อุบัติการณ์ของโรคในปัจจุบันจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่อัตราป่วยตายของโรคนี้ค่อนข้างจะคงที่ คือ ประมาณ 10% ทั้งนี้ความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับการได้รับยาต้านพิษคอตีบและยาปฏิชีวนะอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วันหลังมีอาการ ซึ่งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงเหลือประมาณ 1% แต่ถ้ามาพบแพทย์ล่าช้า หรือเมื่อผู้ป่วยมีอายุต่ำกว่า 5 ปี หรืออายุสูงตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว อัตราการเสียชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20% วิธีป้องกันโรคคอตีบ